10 อันดับ เชือกโยคะ ยี่ห้อไหนดี 2024 แข็งแรงทนทาน คุณภาพดี

จากบทความก่อนหน้าที่เราได้แนะนำวิธีการเลือก เสื่อโยคะ ไปแล้วนั้น ในบทความนี้ขอมาพูดถึง เชือกโยคะ หรือเข็มขัดโยคะ ส่วนใหญ่นิยมทำมาจากผ้าฝ้ายธรรมชาติ ที่มีความหนานุ่ม แข็งแรงทนทาน ซึ่งเชือกโยคะช่วยในการฝึกโยคะในท่วงท่าต่างๆ ตามหลักของโยคะได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นหากคุณกำลังสนใจการเล่นโยคะโดยฝึกท่วงท่าหรือต้องการจัดระเบียบร่างกาย เช่นฝึกให้หลังตรง ให้ร่างกายมีความยืดหยุ่น การเล่นโยคะโดยเชือกโยคะก็เป็นทางเลือกที่ดีทีเดียว เพราะจะช่วยให้ร่างกายมีความยืดหยุ่นได้มากขึ้น ช่วยปรับสรีระของร่างกายทุกส่วนได้อย่างถูกต้อง ทั้งยังป้องกันการบาดเจ็บได้ดีกว่าการออกกำลังกายแบบอื่นๆ แถมเชือกโยคะสามารถใช้เป็นสายรัดเสื่อโยคะได้อีกด้วย เพื่อความสะดวกในการพกพา ถือว่าได้อุปกรณ์โยคะที่พกพาง่าย ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายจริงๆ ถ้าสนใจกันแล้วก็ไปดูกันเลยกับ 10 อันดับ เชือกโยคะ ยี่ห้อไหนดี | จัดอันดับโดย pro4289

วิธีการเลือกเชือกโยคะ

เชือกโยคะล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน และมีรูปแบบให้เลือกอย่างหลากหลาย ดังนั้นคุณควรพิจารณาตั้งแต่วัสดุที่ใช้ทำเชือกโยคะ รวมถึงความแข็งแรงทนทานโดยรวมของเชือกโยคะเพื่อประกอบการตัดสินใจ เพราะเชือกโยคะที่คุณภาพดี จะต้องมาจากการใช้วัสดุที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน

1.เลือกจากวัสดุที่ใช้ทำเชือกโยคะ

เชือกโยคะที่ดีสำหรับผู้เล่นโยคะควรมีน้ำหนักเบา ตัวเชือกมีความแข็งแรง แต่ไม่แข็งจนบาดผิวหนังหรือทำให้ร่างกายบาดเจ็บได้ เชือกจึงต้องมีความนุ่มอยู่ด้วย รวมทั้งเส้นใยเชือกจะต้องมีความทนทาน ไม่ฉีกขาดหรือเป็นขุ่ยได้ง่าย โดยส่วนมากแล้วเชือกโยคะมักจะใช้เส้นใยจากผ้าฝ้ายหรือเส้นใยสังเคราะห์ ซึ่งจะมีรายละเอียดและความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ 

• ผ้าฝ้าย เป็นเส้นใยที่ได้จากธรรมชาติ โดยมีคุณสมบัติในเรื่องของความทนทานมากกว่าเส้นใยธรรมชาติชนิดอื่น ซึ่งผู้ผลิตบางเจ้าจะเลือกใช้ผ้าฝ้ายออร์แกนิกเป็นวัสดุหลักในการผลิต เพราะมีกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยังสามารถช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าได้ อีกทั้งเชือกโยคะที่ได้ก็ปราศจากสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกายของผู้ใช้งานอีกด้วย
• ผ้าใยสังเคราะห์อื่นๆ เชือกโยคะที่ทำจากผ้าใยสังเคราะห์ เช่น ผ้าไนลอน ผ้าโพลีเอสเตอร์ หรือผ้าเรยอน เป็นต้น เป็นผ้าที่มีความแตกต่างกันไป แต่ทั้งนี้การใช้ผ้าใยสังเคราะห์มาทำเป็นเชือกโยคะ ส่วนมากจะมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือ มีความยืดหยุ่นและน้ำหนักเบา แต่อย่างไรก็ตาม ผ้าใยสังเคราะห์แต่ละชนิดจะมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนเลือกซื้อมาใช้งานควรสอบถามวิธีการดูแลและการทำความสะอาดด้วย เพื่อให้เชือกโยคะสามารถใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและใช้งานได้ยาวนานมากที่สุด

2.เลือกรูปแบบเชือกโยคะให้เหมาะกับการใช้งาน

เชือกโยคะถูกออกแบบมาให้เลือกใช้งานอย่างมากมาย เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานและเหมาะสำหรับการฝึกในท่วงท่าต่างๆ มากที่สุด ดังนั้นที่พบเห็นกันได้ทั่วไปจะมีรูปแบบดังนี้

• เชือกโยคะแบบเลข 8 หรือ Infinity โดยใช้สำหรับคล้องที่หัวไหล่หรือใช้ในการยืดเหยียดร่างกายเป็นช่วงสั้นๆ เช่นท่า pigeon คือท่าพับขาจากด้านหลังเข้ามา สามารถใช้เชือกแบบเลข 8 คล้องข้อเท้า ซึ่งตัวเชือกจะไม่ยาวเกินไป เพราะจะทำให้รู้สึกเกะกะ และเชือกแบบนี้ยังสามารถนำมาใช้ออกกำลังกายท่วงท่าอื่นๆ ได้อีกหลากหลาย รวมถึงใช้ในการช่วยบริหารกล้ามเนื้อหรือใช้ยืดกล้ามเนื้อหลังการออกกำลังกายได้
• เชือกโยคะแบบยาว จะมีความยาวประมาณ 4 – 5 เมตร เหมาะสำหรับการยืดหยุ่นร่างกายทั้งตัว เช่น การฝึกท่าธนู เชือกจะยาวจนสามารถคล้องที่มือและเท้าได้ ทำให้ผู้ฝึกจัดท่าธนูได้ง่ายขึ้น เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อส่วนลำตัว ทั้งยังช่วยในการจัดระเบียบร่างกายและใช้เพื่อช่วยฝึกท่าต่างๆ ได้ง่ายขึ้น แต่ก็อาจจะรู้สึกเกะกะในการฝึกสำหรับบางท่วงท่าได้

3.เลือกเชือกโยคะที่สามารถใช้เป็นสายสะพายเสื่อโยคะได้

นอกจากจะใช้เพื่อเล่นโยคะแล้วนั้น การเลือกเชือกโยคะแบบที่สามารถใช้เป็นสายสะพายเสื่อโยคะได้ ถือว่าเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น ซึ่งเชือกโยคะจะมีทั้งที่ทำเป็นห่วงหรือปมที่ปลายทั้งสองข้างเพื่อให้สามารถคล้องเก็บเสื่อโยคะได้ และแบบที่ใช้ตัวล็อกเพื่อปรับขนาดได้ โดยข้อดีของการซื้อเชือกโยคะประเภทนี้คือเพื่อเพิ่มความสะดวกต่อการพกพาและการใช้งาน เพราะเชือกเส้นเดียวสามารถใช้งานได้ถึง 2 อย่าง แต่อย่างไรก็ตาม การเลือกเชือกโยคะแบบนี้จะต้องเน้นที่ความแข็งแรงของเชือกเพื่อให้เหมาะกับขนาดและน้ำหนักของเสื่อโยคะด้วย เพราะเมื่อม้วนเก็บเสื่อโยคะ ความยาวของเชือกโยคะจะต้องมากพอที่จะม้วนเก็บปลายทั้งสองข้างและสามารถสะพายไหล่ได้โดยไม่รัดแน่นจนเกินไป

ข้อควรระวังในการเล่นโยคะ

การเล่นโยคะเป็นการพัฒนาระบบต่างๆ ของร่างกาย รวมถึงเป็นการช่วยฝึกสมาธิ เพื่อกำหนดจิตใจให้สงบได้ ทั้งนี้ผู้เล่นต้องมีการเตรียมตัวและเข้าใจถึงข้อผิดพลาดที่มักจะเกิดขึ้นในการเล่นโยคะ โดยมีข้อควรระวังดังนี้

• การกลั้นหายใจ : ในการเล่นโยคะนั้น การกำหนดลมหายใจและวิธีการหายใจก็เป็นเรื่องสำคัญ เพราะหากผู้เล่นมีการหายใจที่ผิดวิธีในระหว่างการเล่นโยคะท่ายากๆ จะทำให้เกิดผลเสียตามมาแน่นอน ดังนั้นต้องปรับพฤติกรรมการหายใจให้ดี โดยต้องหายใจให้ทั่วท้องอย่างเต็มปอด รู้สึกถึงอากาศเย็นๆ ที่ไหลผ่านลำคอและกระเพาะ แล้วหายใจออกช้าๆ ผ่านทางปากจนกว่าปอดจะโล่ง

• ออกแรงเยอะเกินไป : สำหรับการเล่นโยคะผู้เล่นที่ออกแรงเยอะเกินไปจะทำให้กล้ามเนื้อได้รับความบาดเจ็บ เคล็ดตึงจากการเกร็งมากเกินไป  ดังนั้นคุณควรหยุดพฤติกรรมเหล่านี้ เพราะการเล่นโยคะคือ การตระหนักรู้สติ รู้จักฟังสัญญาณของร่างกาย และถ้าร่างกายไม่ไหว เราก็ต้องหยุดพักก่อน

• กินอิ่มเกินก่อนมาเล่นโยคะ : การกินแบบจัดเต็มมาก่อน หรือกินจนอิ่นเกินไป แล้วมาเล่นโยคะ จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง และยังส่งผลไปถึงการไหลเวียนของเลือดในร่างกาย เนื่องจากเลือดจะไม่ไหลเวียนไปที่หน้าท้องในขณะที่ร่างกายดูดซึมสารอาหาร จึงทำให้กล้ามเนื้อนั้นไม่มีพลังงานสำหรับเล่นโยคะ ดังนั้นการทานอาหารก่อนเล่นโยคะที่ถูกต้องคือ การลดปริมาณอาหารที่ทานให้น้อยลง และเว้นระยะห่าง 40 นาที – 1 ชั่วโมง ก่อนที่จะเริ่มเล่นโยคะ เพื่อให้การไหลเวียนของเลือดและกล้ามเนื้อทำงานได้ดี
• หลังเล่นโยคะเสร็จ ไม่คลายเส้น : เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลยหลังจากการเล่นโยคะหรือออกกำลังกายคือ การคลายกล้ามเนื้อ ในออกกำลังกายหรือเล่นโยคะล้วนเป็นการใช้กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ให้เลือดมีการไหลเวียน ดังนั้นการคลายกล้ามเนื้อหลังการเล่นโยคะ จึงเป็นการยืดกล้ามเนื้อเพื่อไม่ให้หดตัวหรือบาดเจ็บ เพื่อคลายเส้นเอ็นต่างๆ ที่จะไม่ทำให้ร่างกายมีความตึงจนเกินไป