ตู้เย็น เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวที่จำเป็นต้องมีติดบ้านและสำนักงาน เพื่อช่วยในการถนอมอาหารและคงความสดใหม่ให้อาหารไม่เน่าเสียได้ง่าย ดังนั้น ควรให้ความสำคัญในการเลือกซื้อตู้เย็นที่เหมาะสมกับความต้องการในการใช้งานของคุณ นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงความปลอดภัยและการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับตู้เย็นที่ออกแบบมาเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีที่ช่วยลดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้จึงมาแนะนำ 10 อันดับ ตู้เย็น ยี่ห้อไหนดี น่าใช้ ไม่กินไฟ แช่อาหารได้เยอะ | จัดอันดับโดย Pro4289.com

วิธีการเลือกซื้อ ตู้เย็น

การเลือกซื้อตู้เย็นเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อให้คุณสามารถเลือกซื้อตู้เย็นมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ตรงต่อความต้องการของคุณมากที่สุด คุณสามารถพิจารณาตามขั้นตอนดังต่อไปนี้:

  1. วิเคราะห์ความต้องการ: ให้คำนึงถึงความต้องการของคุณ เช่น ขนาดที่เหมาะสม, จำนวนชั้นวางของ, ลักษณะการใช้งาน (เช่น ตู้เย็นสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่หรือใช้ในบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยอย่างจำกัด) และคุณสมบัติเสริมเพิ่มเติมที่คุณต้องการ เช่น หน้าจอแสดงอุณหภูมิ หรือเทคโนโลยีอื่นๆ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับคุณ
  2. ขนาดของตู้เย็น: ตรวจสอบพื้นที่ที่คุณจะใช้ตั้งตู้เย็น เพื่อให้แน่ใจว่าพื้นที่ของคุณสามารถรองรับตู้เย็นขนาดใหญ่หรือตู้เย็นขนาดที่คุณต้องการได้ และควรพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ เช่น ความกว้าง ความลึก ความสูงของตู้เย็น และตรวจสอบว่าสามารถเปิดประตูของตู้เย็นได้อย่างสะดวกสบายหรือไม่
  3. ลักษณะการใช้งาน: คุณอาจต้องพิจารณาคุณลักษณะเฉพาะของตู้เย็น เช่น ความสามารถในการปรับอุณหภูมิ, มีระบบการตั้งค่าที่สะดวก, หน้าจอแสดงข้อมูลที่แม่นยำ หรือระบบตัดความเย็น เป็นต้น
  4. ความปลอดภัยและการอนุรักษ์พลังงาน: ตรวจสอบระบบการป้องกันของตู้เย็น เช่น ระบบป้องกันการรั่วไหลของก๊าซที่เป็นอันตราย อีกทั้งคุณยังควรพิจารณาเกี่ยวกับความพร้อมทางพลังงาน เช่น มีระบบออกแบบที่ทันสมัยและประหยัดการใช้พลังงานได้ดี
  5. แบรนด์และความน่าเชื่อถือ: เลือกซื้อตู้เย็นจากแบรนด์ที่เชื่อถือได้และเป็นแบรนด์ที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตตู้เย็น การเลือกแบรนด์ที่น่าเชื่อถือจะช่วยให้คุณมั่นใจในคุณภาพและการบริการหลังการขาย
  6. ราคาและการรับประกัน: กำหนดงบประมาณที่คุณพร้อมจะใช้จ่ายและเปรียบเทียบราคาตู้เย็นจากแบรนด์และรุ่นที่คุณสนใจ นอกจากนี้ยังควรตรวจสอบระยะเวลาของการรับประกันสินค้าอีกด้วย
  7. ศูนย์บริการหลังการขาย: ตรวจสอบว่ามีศูนย์บริการหลังการขายในพื้นที่ของคุณหรือไม่ ซึ่งจะมีประโยชน์ในกรณีที่คุณต้องการการซ่อมบำรุงหรือต้องการใช้บริการหลังการขาย
  8. อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้คนอื่น: อ่านรีวิวและความคิดเห็นจากผู้ใช้คนอื่นๆ เพื่อรับข้อมูลเพิ่มเติมและประเมินความพึงพอใจที่คุณจะรับได้ของตู้เย็นที่คุณสนใจ

อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อตู้เย็นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากต้องพิจารณาความต้องการของคุณและคำนึงถึงพื้นที่ที่จะใช้ในการตั้งวางตู้เย็น ราคาที่เหมาะสม คุณสมบัติและคุณภาพของตู้เย็นที่คุณต้องการ ดังนั้น การวิเคราะห์และพิจารณาตามข้อมูลต่างๆ ที่ได้กล่าวในข้างต้น จะช่วยให้คุณมีแนวทางในการเลือกซื้อตู้เย็นที่เหมาะสมกับคุณและครอบครัวของคุณได้ดียิ่งขึ้น

แนะนํา 10 ตู้เย็น ยี่ห้อไหนน่าใช้ที่สุด 2024

1

Toshiba ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น GR-B31KU(SS)

2

Hisense ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น ERS517B

3

Sharp ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น SJ-XP230T-DK

4

TCL ตู้เย็น 1 ประตู รุ่น F93SDS/SDW

5

LG ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น GN-F372PXAK

6

Electrolux ตู้เย็นมินิบาร์ รุ่น EUM0930AD

7

Mitsubishi ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น MR-FC31ET/SSL

8

Samsung ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น RT25FGRADSA/ST

9

Haier ตู้เย็น 1 ประตู รุ่น HR-CEQ15X

10

Hitachi ตู้เย็น 2 ประตู รุ่น HRTN5230MBBKTH

ตู้เย็น ยี่ห้อดัง ยอดนิยม

ตู้เย็น ยอดนิยม ขายดี - ประจำเดือน

คำถามที่พบบ่อย

การที่ตู้เย็นไม่เย็นอาจมีสาเหตุจากหลายปัจจัย ดังต่อไปนี้:

  1. อาจมีปัญหาเกิดขึ้นกับสายไฟหรือเพาเวอร์ทำงานไม่ถูกต้อง ทำให้เครื่องทำความเย็นไม่ทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ
  2. ตู้เย็นอาจต้องการระบายความร้อนอย่างถูกวิธีเพื่อให้ทำความเย็นได้ดี หากมีอุปสรรคในการระบายความร้อน เช่น ระบบระบายความร้อนอุดตัน จะทำให้เครื่องทำความเย็นทำงานได้ไม่เต็มที่
  3. อาจมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทำความเย็น เช่น อุปกรณ์ช่วยทำความเย็นเสีย ตู้เย็นก็จะไม่สามารถทำความเย็นได้
  4. ตู้เย็นอาจมีรอยรั่วไหล หากตู้เย็นมีรอยรั่วจนทำให้อากาศร้อนเข้าสู่ภายในตู้เย็น จะทำให้ความเย็นลดลงได้เร็ว
  5. ถ้าอุณหภูมิภายนอกสูงมากหรือมีการวางตู้เย็นในที่ที่ร้อน อาจทำให้เครื่องทำความเย็นทำงานหนักมากเกินไปและไม่สามารถเย็นลงได้อย่างเพียงพอ

หากตู้เย็นของคุณไม่เย็น คุณอาจต้องตรวจสอบสาเหตุดังกล่าวและอาจต้องรีบซ่อมบำรุงหรือติดต่อช่างซ่อมในกรณีที่ไม่ทราบถึงสาเหตุหรือซ่อมไม่ได้

หากตู้เย็นช่องฟรีซไม่ทำน้ำแข็ง คุณสามารถลองหาสาเหตุตามขั้นตอนต่อไปนี้เพื่อแก้ไขปัญหาได้:

  • ตรวจสอบว่าท่อน้ำที่เชื่อมต่อกับตู้เย็นช่องฟรีซ ติดตั้งและเชื่อมต่ออย่างถูกต้องหรือไม่ และไม่มีการรั่วไหลใดๆ เกิดขึ้นภายในตู้เย็น
  • ตรวจสอบสวิตช์หรือปุ่มควบคุมระบบทำน้ำแข็งว่าได้ถูกเปิดใช้งานอย่างถูกต้องหรือไม่ และตรวจสอบการตั้งค่าอุณหภูมิในช่องฟรีซว่าถูกต้องตามที่ต้องการหรือไม่
  • ตรวจสอบระบบช่วยระบายความร้อนของตู้เย็นช่องฟรีซว่ามีความสะอาดและไม่มีการอุดตันใดๆ

หากคุณไม่สามารถแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้ด้วยตนเอง แนะนำให้ติดต่อผู้ให้บริการหรือช่างซ่อม เพื่อตรวจเช็คและซ่อมบำรุงอย่างถูกต้อง

การใช้โฟมเป็นฐานรองตู้เย็นไม่มีความเสี่ยงในการเกิดอันตรายใดๆ เพราะโฟมมักถูกนำมาใช้เป็นฐานรองเครื่องใช้หลายๆ อย่าง แต่การใช้โฟมเป็นฐานรองควรทำให้แน่ใจว่าการติดตั้งและใช้งานได้อย่างถูกต้องเพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด

อย่างไรก็ตาม หากคุณกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัย คุณสามารถพิจารณาใช้วัสดุอื่นเป็นฐานรองที่เหมาะสมสำหรับตู้เย็นได้ เช่น แผ่นโลหะหรือวัสดุที่มีความทนทานและแข็งแรงมากกว่าโฟม และถ้าคุณยังไม่แน่ใจหรือมีคำถามเพิ่มเติม คุณควรปรึกษาผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายของตู้เย็น เพื่อขอคำแนะนำที่ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ฐานรองตู้เย็น

การถอดปลั๊กตู้เย็นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และความจำเป็นในกรณีต่างๆ ดังต่อไปนี้:

  • การเคลื่อนย้ายหรือขนส่ง: หากคุณต้องการย้ายตู้เย็นหรือขนส่งไปยังสถานที่อื่น การถอดปลั๊กก่อนเคลื่อนย้ายอาจเป็นการป้องกันการสะเทือน ลดความเสียหายต่อเครื่องหรือสายไฟของตู้เย็น
  • การซ่อมบำรุงหรือการตรวจเช็ค: หากคุณต้องการทำการซ่อมหรือตรวจสอบส่วนต่างๆ ของตู้เย็น เช่น ระบบทำความเย็นหรือสายไฟ การถอดปลั๊กอาจช่วยให้คุณทำงานได้อย่างปลอดภัย
  • สถานการณ์ฉุกเฉิน: หากเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น กระแสไฟรั่วหรือสาเหตุขัดข้องอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความปลอดภัย การถอดปลั๊กตู้เย็นอาจช่วยให้คุณปิดการใช้งานไฟฟ้าและลดความเสี่ยงลงได้

อย่างไรก็ตาม การถอดปลั๊กตู้เย็นอาจเป็นการตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังตู้เย็น ดังนั้น คุณควรให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเสมอ และอาจต้องติดต่อผู้ผลิตหรือช่างซ่อม เพื่อขอคำแนะนำเฉพาะในสถานการณ์ของคุณ

หากต้องการให้ตู้เย็น เย็นได้อย่างรวดเร็ว คุณสามารถทำตามขั้นตอน ดังต่อไปนี้:

  1. เตรียมตู้เย็น: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าตู้เย็นอยู่ในตำแหน่งที่ระบบระบายความร้อนสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. เปิดใช้งานและตั้งค่าอุณหภูมิ: เปิดเป็นสถานะเปิดการใช้งานของตู้เย็นและตั้งค่าอุณหภูมิที่ต้องการให้ตู้เย็นทำงาน ระบบทำความเย็นอาจต้องใช้เวลาปรับตัวเพื่อให้เข้ากับอุณหภูมิที่ตั้งไว้
  3. รอเวลา: รอให้ตู้เย็นทำงานเป็นเวลาประมาณ 2 – 4 ชั่วโมง ในระหว่างนี้ต้องปิดฝาตู้เย็นเพื่อให้ระบบทำความเย็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังจากผ่านไปตามเวลาที่กำหนด คุณจะสามารถแช่อาหารหรือเครื่องดื่มในตู้เย็นได้ โดยควรตรวจสอบความเย็นภายในตู้เย็นเพื่อให้แน่ใจว่าอาหารหรือเครื่องดื่มได้รับความเย็นที่เหมาะสม

ตู้เย็น มีกี่ประตู

ตู้เย็นมักถูกออกแบบมาให้เลือกใช้ได้หลากหลายแบบ ซึ่งสามารถแบ่งประเภทของตู้เย็นตามจำนวนประตู ได้ดังนี้:

  • ตู้เย็นบานเดี่ยวหรือตู้เย็น 1 ประตู (Single Door Refrigerator): ประกอบด้วยประตูเดียวที่เปิดได้ทั้งช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็งพร้อมกัน ซึ่งเป็นรูปแบบที่เรียบง่ายและเหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่ที่มีอย่างจำกัด และมีความจุน้อยกว่าประเภทอื่นๆ
  • ตู้เย็น 2 ประตู (Double Door Refrigerator): ประกอบด้วย 2 ประตูคือประตูด้านบนจะเป็นส่วนแช่แข็งและประตูด้านล่างจะเป็นส่วนแช่เย็น สำหรับแช่ผัก ผลไม้ เครื่องดื่ม ตู้เย็นรูปแบบนี้มักจะมีความจุใหญ่กว่าตู้เย็นประตูเดียวและมีการจัดเรียงชั้นแช่ของเป็นอย่างดีเพื่อให้แช่อาหารอย่างเป็นสัดส่วนและสะดวกสบายมากขึ้น
  • ตู้เย็น 3 ประตู (Triple Door Refrigerator): ประกอบด้วย 3 ประตูแยกออกจากกัน ประตูบนเป็นส่วนของช่องแช่แข็ง ประตูกลางและล่างเป็นส่วนของช่องแช่เย็นสำหรับอาหารหรือของสด ตู้เย็นแบบนี้จะมีความจุใหญ่และมีการจัดวางช่องใส่ของหรือชั้นวางของอย่างเป็นระเบียบ
  • ตู้เย็น 4 ประตู (Quad Door Refrigerator): ประกอบด้วย 4 ประตูแยกออกจากกัน ประตูบนเป็นส่วนของช่องแช่แข็ง ประตูกลาง 2 บานและประตูล่างเป็นส่วนของช่องแช่อาหารสด ผัก ผลไม้ หรือเนื้อสัตว์ให้คงความสดไว้ ตู้เย็นรูปแบบนี้จะมีความจุขนาดใหญ่และจัดสรรชั้นวางและช่องใส่ของอย่างเป็นระเบียบ แยกประเภทอาหารได้ง่าย
  • ตู้เย็น Side-by-Side: ประกอบด้วย 2 ประตูขนาดใหญ่แบบเคลื่อนที่ได้ แบ่งเป็นส่วนแช่เย็นและส่วนแช่แข็งที่จะอยู่ข้างๆ กัน ตู้เย็นแบบนี้มีความจุขนาดใหญ่และมีการจัดวางช่องใส่อาหารและชั้นวางของทั้งสองส่วนอย่างเป็นระเบียบ แยกใส่อาหารตามประเภทได้ในระดับความเย็นที่เหมาะสม

นอกจากนี้ยังมีการออกแบบพิเศษอื่นๆ เช่น ตู้เย็นแบบฝังตู้ (Built-in Refrigerator) ที่สามารถปรับแต่งตามโครงสร้างของห้องครัวได้ และตู้เย็นแบบเสริม (Drawer Refrigerator) ที่ออกแบบให้ใช้งานเฉพาะสำหรับการเก็บเครื่องดื่มหรืออาหารบางชนิดเท่านั้น

ตู้เย็น ยี่ห้อไหนดี

หากคุณกำลังมองหาตู้เย็นที่มีประสิทธิภาพและได้รับความนิยม แนะนำ Top 5 ตู้เย็น ยี่ห้อไหน น่าใช้ ดังนี้:

  1. Toshiba ตู้เย็น 2 ประตู : ตู้เย็น 2 ประตู ขนาด 8.9 คิว มาพร้อมระบบกำจัดกลิ่น ช่วยย่อยสลายโมเลกุลของกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ และยับยั้งแบคทีเรีย ทำให้อาหารสดใหม่ได้นานยิ่งขึ้น
  2. Hisense ตู้เย็น 2 ประตู : ตู้เย็น 2 ประตู Side By Side ขนาด 18.5 คิว ใช้เทคโนโลยี Multi Air Flow ช่วยกระจายความเย็นได้อย่างทั่วถึง พร้อมช่วยถนอมคุณค่าและความสดใหม่ของอาหารได้เป็นอย่างดี
  3. Sharp ตู้เย็น 2 ประตู : ตู้เย็น 2 ประตู 7.9 คิว มีระบบช่วยกำจัดกลิ่นและแบคทีเรียภายในช่องแช่อาหารสด ชั้นวางของเป็นกระจกใสนิรภัย มีความแข็งแรงทนทาน
  4. TCL ตู้เย็น 1 ประตู : ตู้เย็น 1 ประตู 3.2 คิว สามารถปรับอุณหภูมิความเย็นได้ถึง 5 ระดับ ทำความเย็นแบบไร้ฟลูออรีน ขนาดกะทัดรัด เหมาะสำหรับใช้ในออฟฟิศ ห้องนอน ห้องครัว หรือบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัดและครอบครัวขนาดเล็ก
  5. LG ตู้เย็น 2 ประตู : ตู้เย็น 2 ประตู 13.2 คิว ทำความเย็นอย่างสม่ำเสมอ ช่วยคงความสดใหม่ของอาหาร พร้อมช่วยดับกลิ่นและขจัดแบคทีเรียได้ถึง 99.99% ประหยัดพลังงาน ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

โดยสรุป ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นต้องมีในครัวเรือน เพื่อใช้สำหรับถนอมอาหารให้สดใหม่และคงคุณค่าของอาหารไว้ ดังนั้น การเลือกตู้เย็นที่เหมาะสมจึงควรศึกษาและพิจารณาคุณสมบัติของตู้เย็นที่คุณต้องการ เพื่อให้คุณสามารถเลือกตู้เย็นที่ใช้งานได้ตรงตามความต้องการและมีคุณภาพดี สร้างความพึงพอใจให้กับคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบ